บอยเลอร์ไฟฟ้า เชื้อเพลิงถ่านหิน
เชื้อเพลิงขี้เลื่อย หัวพ่นไฟที่ใช้ แก๊ส-ดีเซล
เชื้อเพลิงของบอยเลอร์
มีคำถามว่า "ชนิดของเชื้อเพลิงที่ใช้ในการเผาไหม้ในหม้อไอน้ำนั้นมีผลทำให้เกิดความแตกต่างต่อประสิทธิภาพการเปลี่ยนรูปของพลังงานหรือไม่" คำตอบที่ได้รับก็คือ "ใช่" เชื้อเพลิงแบบดั้งเดิมจะแตกต่างจากเชื้อเพลิงอื่น ๆ ตามลักษณะของการเผาไหม้ และจะส่งผลกระทบต่อการถ่ายเทความร้อนด้วยเชื้อเพลิงอาจจะเป็นของแข็ง (Soild) ของเหลว (Liquid) หรือแก๊ส (Gaseous) และอาจเป็นเชื้อเพลิงที่พัฒนาให้มีคุณค่าทางการค้า (Commercial Fuels) หรือเชื้อเพลิงที่เหลือใช้ ได้แก่ เชื้อเพลิงซึ่งสกัดออกมาจากฟอสซิล มีการใส่สารเคมีเพิ่มเข้าไปหรือทำให้บริสุทธิ์เพื่อปรับปรุงคุณภาพให้ดีขึ้นและส่งไปขายตามองค์กรต่าง ๆ ได้อย่างมากมาย เช่น องค์กรถ่านหินของสหราชอาณาจักร (British Coal) บริษัทน้ำมันและองคืกรแก๊สของสหราชอาณาจักร (British Gas) เชื้อเพลิงที่เหลือใช้เหล่านี้เป็นผลพลอยได้ (By-Product) หรือส่วนที่ติดมากับกระบวนการผลิต และที่เห็นได้อย่างชัดเจนก็คือ เป็นการประหยัดที่จัดหาได้ในท้องถิ่นตนเอง
การพิจารณาองค์ประกอบอื่น ๆ นอกเหนือจากด้านการเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อนแล้วต้องคำนึงถึงส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเก็บสำรองและการลำเลียงเชื้อเพลิงหล่านี้ด้วย นอกจากนั้น ยังมีเรื่องของการบำรุงรักษาและผลกระทบที่มีต่อสิ่งแวดล้อม เป็นต้น สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จะมีผลกระทบต่อประสิทธิภาพโดยรวม และต้นทุนที่เกิดขึ้นจริงจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงเหล่านี้
แก๊สธรรมชาติ (Natural Gas)
จากการที่มีการผสมแก๊สธรรมชาติกับอากาศแล้วเมื่อเผาไหม้แล้วจะไม่ก่อให้เกิดควันและเขม่า ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาหม้อไอน้ำก็จะต่ำ หัวเผาที่ใช้แก๊สธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงก็จะเป็นแบบง่าย ๆ สามารถใช้อุปกรณ์ทางเครื่องกลเพียง 2-3 ชิ้นเท่านั้น ซึ่งก็จะทำให้ค่าบำรุงรักษาถูกลงไปด้วย
ปกติแก๊สธรรมชาติจะเป็นเชื้อเพลิงที่นิยมใช้กับหม้อไอน้ำในโรงงานและไม่ต้องคำนึงถึงเรื่องการเก็บสำรอง เมื่อแก๊สไฮโดรคาร์บอนผสมกับอากาศและเกิดการเผาไหม้สมบูรณ์ ก็จะเหลือเพียงน้ำและคาร์บอนได้ออกไซด์เท่านั้น ดังนั้น ความคิดพื้นฐานนี้จึงได้รับความสำคัญอย่างมากสำหรับการติดตั้งหม้อไอน้ำใหม่ ๆ แบบที่ใช้แก๊สเป็นเชื้อเพลิง
การใช้แก๊สธรรมชาติจำเป็นต้องพิจารณาองค์ประกอบอื่น ๆ ด้วย ในทางปฏิบัติ ความต้องการใช้แก๊ส ในสหราชอาณาจักรมีเพิ่มขึ้นทุกปีอย่างต่อเนื่อง และถึงแม้ว่าแก๊สธรรมชาติที่มีอยู่ยังเพียงพอกับความต้องการดังกล่าว โรงงานแต่ละแห่งก็จำเป็นต้องมีการประเมินล่วงหน้าถึงข้อจำกัดภายในที่เกี่ยวข้องกับระบบการจ่ายด้วย เพราะบางครั้งอาจทำให้เกิดความล่าช้าในการจัดหาแก๊สในช่วงของการใช้งานอย่างต่อเนื่องได้ องค์ประกอบที่สองก็คือความปลอดภัย ดังนั้น เพื่อให้สอดคล้องกับระเบียบข้อบังคับในเรื่องของการจ้ดส่ง การใช้แก๊สธรรมชาติและอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดส่งและการใช้แก๊สธรรมชาติ ควรต้องมีการบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอด้วย
องค์ประกอบที่สาม ก็คือ การเผาไหม้แก๊สเป็นสาเหตุทำให้กิดมลพิษ ในขณะที่สารมลพิษ (Pollutant) ไม่รวมถึงควัน (Smoke) หรือสารที่มีพิษ (Noxious Substances) แต่สารมลพิษเหล่านี้จะหมายรวมถึงแก๊ส ซึ่งเป็นตัวก่อให้เกิดสภาวะเรือนกระจก (Greenhouse Effect) ด้วย จากการที่แก๊สธรรมชาติมีส่วนประกอบที่เป็นแก๊สมีเทน (Methane) เป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นจึงเกิดแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์จากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงทุกชนิดอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ นอกจากนี้แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ยังเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า มีการเผาไหม้ที่สมบูรณ์ในการเผาแก๊สธรรมชาติก็ยังให้ออกไซด์ของไนโตรเจนออกมาด้วย ทั้งนี้เพราะอุณหภูมิในการเผาไหม้อีกทั้งในอากาศเองก็ยังมีส่วนผสมมของออกซิเจนและไนโตรเจนรวมอยู่
โดยข้อเท็จจริงไม่ว่าจะซื้อเชื้อเพลิงชนิดใดก็ตาม ราคาที่จ่ายจริงของลูกค้าจะขึ้นอยู่กับปริมาณที่ใช้ ชนิดของเชื้อเพลิงที่ต้องการ และราคาก็ยังสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามขนาดของกำลังที่ใช้ที่แตกต่างกันออกไปด้วย ดังนั้น โดยทั่วไปเมื่อมีการพิจารณาราคาจากแก๊สธรรมชาติแล้ว ก็จะมีการเปรียบเทียบกับราคาของน้ำมัน เช่น เมื่อจะใช้แก๊สเป็นเชื้อเพลิงก็จะต้องเปรียบเทียบราคาแก๊สกับน้ำมันเตาที่จะนำมาใช้ โดยคำนึงถึงบทบาทของผู้ขายส่งด้วยเพราะหม้อไอน้ำภต้องมีการทำงานอย่างต่อเนื่องไม่สามารถหยุดชะงักการทำงาน เมื่อการจัดส่งเชื้อเพลิงหยุดชะงักหม้อไอน้ำก็จำเป็นต้องมีระบบการใช้เชื้อเพลิงในการเผาไหม้ได้สองชนิด ซึ่งโดยปกติก็จะใช้น้ำมันเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง หัวเผาที่จะใช้กับเชื้อเพลิงทั้งสองชนิดนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุดต้องเป็นหัวเผาแบบแก๊ส เพราะจากประสบการณ์แล้วส่วนใหญ่การทำงานในหนึ่งปี จะมีการใช้แต่แก๊สเป็นเชื้อเพลิง สำหรับส่วนที่ต้องใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงแทนจะเกิดขึ้นในกรณีเครื่องหยุดชะงัก ซึ่งจะมีโอกาสเพียง 2-3 วัน เท่านั้น
ราคาของเชื้อเพลิงต่อหน่วยแสดงไว้ในตารางที่ 7 ช่องที่ 3 คำนวณจากราคาของเชื้อเพลิงหารด้วยค่าความร้อนรวม GJ ผลที่ได้คือ อัตราส่วนของค่าความร้อนรวม (Gross Calorific Value) ของเชื้อเพลิง และช่องที่ 4 คำนวณจากราคาของเชื้อเพลิงหารด้วยค่าความร้อนสุทธิ GJ ผลที่ได้คือ อัตราส่วนของค่าความร้อนสุทธิ (Net Calorific Value) สำหรับหม้อไอน้ำแบบดั้งเดิม (ไม่รวมหม้อไอน้ำแบบไอเสียควบแน่น Condensing Units) ในการคำนวณค่าใช้จ่ายของเชื้อเพลิงควรคำนวณโดยใช้ค่าความร้อนสุทธิ คือความร้อนที่ได้รับจริงจากเชื้อเพลิงซึ่งเป็นค่าเชื้อเพลิงที่ให้ความร้อนจริง โดยไม่ได้บวกเพิ่มค่าความร้อนแฝงของไอน้ำที่เกิดขึ้นจากการเผาไหม้ ถ้าวัดประสิทธิภาพการเผาไหม้ควรคำนวณโดยใช้ค่าความร้อนรวม ปัจจัยที่สำคัญก็คือ ปริมาณของไฮโดรเจนส่วนด้วยคาร์บอนของเชื้อเพลิงในรูปที่ 36 แสดงให้เห็นประสิทธิภาพการเผาไหม้คำนวณโดยใช้ค่าความร้อนรวมที้ต้องการในอุดมคติ (Ideal Gross Combustion Efficiencies) ของเชื้อเพลิงต่างชนิดกัน โดยมีอัตราส่วนของไฮโดรเจนและคาร์บอนที่แตกต่างกันออกไปด้วย
ควรสังเกตคด้วยว่าต้นทุนต่อหน่วยไม่ได้ชี้ให้เห็นถึงต้นทุนของค่าใช้จ่ายโดยรวม ซึ่งควรจะรวมค่าใช้จ่ายในการขนส่ง การเก็บสำรองและการกำจัดของเสีย รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและการใช้ความร้อนอุ่นในช่วงฤดูหนาวด้วย
แก๊สปิโตรเลียมเหลว (LPG)
แก๊สปิโตรเลียมเหลว (LPG) จะมี 2 ชนิด คือ โพรเพน และบิวเทน ในทางปฏิบัติการติดตั้งหม้อไอน้ำส่วนใหญ่จะใช้โพรเพนเป็นเชื้อเพลิง อย่างไรก็ตามการปฏิบัติทั้งหมดตามคำแนะนำทั่ว ๆ ไปที่ใช้แก๊สธรรมชาติก็สามารถนำมาใช้กับปิโตรเลียมเหลวได้เช่นเดียวกัน
สิ่งที่จะแตกต่างกันอย่างที่ 1 คือปิโตรเลียมเหลวต้องการความสะดวกในการเก็บสำรองและต้องระมัดระวังเป็นพิเศษที่จะไม่ให้เกิดการรั่วไหลขึ้น สำหรับความต้องการความสะดวกเป็นเรื่องสำคัญมากที่เกี่ยวข้องกับทั้งค่าใช้จ่ายในการลงทุนของโครงการและค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติการและการบำรุงรักษาโดยรวม เพราะถังที่ใช้ในการเก็บสำรองจะเป็นภาชนะที่เกี่ยวข้องกับความดัน ทำให้ต้องคำนึงถึงทั้งเรื่องของการตรวจสอบและการทดสอบประจำปีในระยะยาวด้วย ถ้าลูกค้า เป็นเจ้าของถังเก็บสำรองเองก็ต้องรับผิดชอบในเรื่องการดำเนินการตรวจสอบและทดสอบด้วยค่าใช้จ่ายของตัวเองทั้งหมด ในทางปฏิบัติลูกค้าส่วนใหญ่จะเช่าถังเก็บสำรองจากผู้ขายเชื้อเพลิงเพื่อไม่ต้องรับผิดชอบในเรื่องดังกล่าว รวมทั้งการบำรุงรักษาทั่ว ๆ ไปด้วย
ความแตกต่างอย่างที่ 2 ก็คือ แก๊สปิโตรเลียมเหลวจะหนักกว่าอากาศ แต่แก๊สธรรมชาติจะเบากว่าอากาศซึ่งอาจทำให้มีการรั่วออกไปได้ จึงจำเป็นที่ต้องกำจัดแหล่งที่มาทั้งหมดที่จะเกิดการสัปดาปและการรั่วไหลจากการเปิดใช้งาน โดยทั่วไปแก๊สธรรมชาติก็จะกระจายออกไปอยู่แล้ว ในขณะที่ปิโตรเลียมเหลวจะยังคงค้างอยู่ในท่อในอาคาร ในอุโมงค์ ตามท่อระบายน้ำทิ้ง ห้องใต้ดินจะไม่กระจายออกไป ยกเว้นในกรณีที่มีการใช้พัดลมเป่าออกไห ลักษณะเช่นนี้จะมีผลกระทบต่อการตั้งถังเก็บสำรองที่จะต้องเกี่ยวข้องกับอาคาร แอ่งน้ำ ท่อระบายน้ำ ห้องใต้ดิน เป็นต้น ซึ่งอาจมีผลต่อตำแหน่งที่วางหม้อไอน้ำด้วย
ถึงแม้ว่าบิวเทนจะถูกกว่าโพรเพนก็ตาม แต่ก็ยังมีการใช้น้อยกว่า เพราะว่าเมื่ออุณหภูมิลดลงมาถึง 0๐C บิวเทนก็จะไม่มีคุณสมบัติเป็นแก๊สอีกต่อไปแต่จะกลายเป็นของเหลว ดังนั้น จำเป็นต้องทำให้แก๊สบิวเทนระเหยกลายเป็นไอ การใช้โพรเพนหรือไฟฟ้าจำเป็นต้องพิจารณาถึงค่าใช้จ่ายของพลังงานที่เพิ่มขึ้นด้วย และควรตระหนักไว้ด้วยว่าค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกันระหว่างโพรเพนและบิวเทนั้นไม่ได้เกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน
น้ำมันเชื้อเพลิง (Fuel Oil)
น้ำมันดิบ (Crude Oil) ประกอบด้วยองค์ประกอบของไฮโดรคาร์บอนที่ซับซ้อน ผู้ใช้เชื้อเพลิงส่วนใหญ่ต้องการเชื้อเพลิงที่มีน้ำหนักเบา เช่น น้ำมันเบนซิน (Petrol) น้ำมันก๊าด (Kerosene) น้ำมันดีเซล (Diesel Oil) น้ำมันที่ใช้ให้ความอบอุ่นในอาคาร (Gas Oil) และ "ส่วนที่เหลือจากการกลั่น" ของน้ำมันเหล่านี้จะเป็นส่วนที่มีประโยชน์ที่นำไปใช้สำหรับอุตสาหกรรปิโตรเคมีและพลาสติก อย่างไรก็ตามการแยกตัวของน้ำมันเบื้องตนทำให้น้ำมันเชื้อเพลิงส่วนใหญ่มีความหนืดมากกว่าที่มีอยู่แล้ว ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดปัญหาในเรื่องการจัดเก็บ การลำเลียง การเผาไหม้และการเกิดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม
ข้อดีที่สำคัญของน้ำมันเชื้อเพลิง ก็คือส่วนที่เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงหนักมีราคาถูก
ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการเก็บสำรองน้ำมันเชื้อเพลิง จะรวมทั้งค่าใช้จ่ายในการลงทุนของถังเก็บน้ำมันสำรองและปัญหาของการขนส่งน้ำมัน น้ำมันเชื้อเพลิงเป็นของเหลวที่มีความหนืดซึ่งจะหนาขึ้นและแข็งตัวเมื่อเย็นลง แต่น้ำมันที่ใช้ให้ความอบอุ่นในอาคารจะมีน้ำหนักเบาและมีความหนืดน้อยกว่า ซึ่งตามปกติแล้วจะคงรูปเป็นของเหลวไม่ว่าอากาศจะเย็นเพียงใด ในฤดูหนาวการจะทำให้น้ำมันที่ใช้ให้ความอบอุ่นในอาคารมีคุณสมบัติในการไหลภายใต้แรงโน้มถ่วงจากถังไปที่หัวเผา หรือทำให้สามารถสูบขึ้นมรได้อย่างง่าย ๆ เป็นคุณสมบัติที่เกิดขึ้นได้จริงถ้าฤดูหนาวนั้นอุณหภูมิไม่ต่ำกว่าจุดเยือกแข็งนานกว่า 1 สัปดาห์หรือมากกว่านั้น เพราะภายใต้สภาวะดังกล่าวนี้ไขของน้ำมัน (Wax) ก็จะเริ่มแข็งและเหนียว (Sticky Solid) ก็จะไปสะสมอยู่ที่ตัวกรองของหัวเผาที่ติดอยู่กับท่อส่ง ในที่สุดก็จะไปกั้นการไหลจากการเกิดการแข็งตัวดังกล่าว ทำให้จำเป็นต้องติดตั้งเครื่องให้ความร้อนด้วยไฟฟ้าบนตัวกรองและ/หรือท่อจ่ายภายนอกเพื่อเป็นการป้องกันไว้ก่อน
น้ำมันที่มีเกรดหนักกว่า ต้องการความร้อนเพื่อทำให้น้ำมันเหล่านี้ไหลออกจากถังทั้งหมด และเพื่อลดปริมาณของพลังงานที่จำเป็นต้องใช้สำหรับอุ่นน้ำมันเพื่อการสูบน้ำมันไปที่หัวเผา ต้องใช้อุณหภูมิในการสูบน้ำมันที่เหมาะสมอย่างคงที่
ตารางที่ 8 แสดงถึงอุณหภูมิต่ำสุดของการเก็บสำรองน้ำมันที่มีเกรดแตกต่างกันออกไป และยังเป็นอุณหภูมิต่ำสุดสำหรับค่าใช้จ่ายในการสูบน้ำมันที่ดีที่สุดอีกด้วย อุณหภูมิที่แสดงอยู่ในตารางเป็นเพียงการชี้แนะเท่านัน โดยเฉพาะกับน้ำมันที่หนักที่สุด ยกเว้นน้ำมันที่ใช้ให้ความอบอุ่นในอาคาร เพราะแนวโน้มทั่ว ๆ ไปก็จเใช้กับน้ำมัที่มีเกรดหนักกว่าและมีความหนืดมากกว่า และต้องการอุณหภูมิในการเก็บสำรองและการสูบสูงกว่าด้วย
น้ำมันที่อุ่นร้อนขึ้นโดยกระแสไฟฟ้าหรือไอน้ำจากหม้อไอน้ำ ก็เป็นสิ่งที่ลดประสิทธิภาพของระบบลง ถ้าไม่สามารถควบคุมน้ำมันที่ร้อนเกินไป ก็จะทำให้เสียค่าใช้จ่ายมาก การไม่หุ้มฉนวนหรือการห้มฉนวนที่ไม่ดีที่ถังน้ำมันหรือท่อเป็นการสูญเสียพลังงานที่สำคัญ
ควรจะต้องพิจารณาถึงความสิ้นเปลืองด้านพลังงานด้วย ถ้าจำเป็นต้องให้ความร้อนกับน้ำมันที่อยู่ในถัง ในทางปฏิบัติก็จะไม่อุ่นให้น้ำมันร้อนเกินไปสำหรับที่จะหมุนเวียนน้ำมันในถัง การออกแบบที่ดี น้ำมันที่อุ่นหมุนเวียนจะต้องมีอุณหภูมิสูงกว่าอุณหภูมิน้ำมันที่เข้าหัวเผา 10% เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการสูงสุดที่หัวเผาต้องการสูบน้ำมันใหม่ออกมาจากถังน้ำมันตามที่ต้องการ ไม่ควรเวียนน้ำมันทั้งถังเก็บ ดังนั้นจึงต้องแน่ใจว่าทั้งขนาดและค่าใช้จ่ายในการลงทุนและการดำเนินงานของเครื่องที่ให้ความร้อนกับน้ำมันต้องมีค่าใช้จ่ายต่ำที่สุด
ข้อเสียของข้อกำหนดในการให้ความร้อนน้ำมันก็คือ จะไม่เป็นการประหยัดที่จะใช้น้ำมันเชื้อเพลิงชนิดหนักกับหม้อไอน้ขนาดเล็กที่มีขนาดต่ำกว่า 3 เมกกะวัตต์ เพราะการใช้น้ำมันชนิดหนักประสิทธิภาพการใช้งานของหม้อไอน้ำจะต่ำ และสำหรับหม้อไอน้ำที่มีกำลังผลิต 20 เมกะวัตต์ บางทีน้ำมันเตาก็อาจจะมีคุณสมบัติต่ำเกินไป เป็นต้น
อย่างไรก็ตามหลายปีที่ผ่านมาราคาตลาดของน้ำมันเตามีส่วนสนับสนุนทำให้มีการใช้นัมันเตาเป็นเชื้อเพลิงมากขึ้น
ข้อกำหนดที่ว่าคุณภาพของน้ำมันที่ส่งไปที่หัวเผาต้องมีคุณภาพที่ดีและมีอุณหภูมิที่เหมาะสม สำหรับหัวเผาจะทำให้มีควันหรือคาร์บอนไดออกไซด์ที่ออกมาน้อยลง และจากข้อเท็จจริงที่ว่าน้ำมันเชื้อเพลิงทั้งหมดจะมีกำมะถันอยู่ด้วย ก็หมายความว่า ซัลเฟอร์ออกไซด์ (SOx) ต้องถูกผลิตออกมาระหว่างที่มีการเผาไหม้และปัจจุบันมีการพิจารณาว่าแก๊สประเภทนี้เป็นตัวก่อให้เกิดปัญหามลภาวะของโลก อย่างไรก็ตาม การเผาไหม้ของน้ำมันจะมีอุณหภูมิต่กว่าการใช้เชื้อเพลิงที่เป็นแก๊ส ดังนั้นการใช้น้ำมันจะผลิตแก๊สไนโตรเจนออกไซด์ (NOx) ออกมาน้อยกว่าเชื้อเพลิงที่เป็นแก๊ส
ถ่านหิน (Coal)
ความสะอาดของารเผาไหม้เชื้อเพลิงแข็งยังคงเป็นปัญหามาก เพราะว่าอากาศที่จำเป็นสำหรับการเผาไหม้จะมีอยู่น้อยกว่ามวลสารของเชื้อเพลิง ด้วยเหตุนี้การเผาไหม้ถ่านหินจะก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ ได้แก่ ควัน (Smoke) เขม่า (Soot) สะเก็ด (Grit) และฝุ่น (Dust) เป็นต้น โรงงานที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงสมัยใหม่นี้มีการควบคุมด้วยไมโครโพรเซสเซอร์ (Microprocessor control) ในขณะที่ในหม้อไอน้ำก็มีการปรับปรุงการออกแบบอุปกรณ์ป้อนเชื้อเพลิงให้ดีขึ้น ซึ่งจะช่วยกำจัดปัญหาด้านมลพิ ษทางอากาศได้ การควบคุมการเกิดซัลเฟอร์ออกไซด์อย่างเข้มงวดจะประสบความสำเร็จโดยการพ่นหินปูน (Limestone Injection) เข้าไปในระบบการเผาไหม้ รวมทั้งการปรับปรุงเครื่องดักฝุ่นแบบไซโคลนและถุงกรองให้ดีขึ้น
โดยทั่วไปบริเวณที่อยู่ใกล้เขตร้อนและที่อยู่ในเขตอบอุ่นของโลก จะมีแหล่งถ่านหินมากกว่าแหล่งน้ำมันดิบหรือแก๊สธรรมชาติ เมื่อราคารน้ำมันดิบสูงขึ้น หลายประเทศที่นำเข้าน้ำมันโดยที่มีแหล่งถ่านหินที่สำคัญอยู่ในประเทศของตนเองด้วยนั้น ก็ได้มีการทำวิจัยในเรื่องของการเผาไหม้ของถ่านหินมากขึ้น และในบางกรณีก็ต้องใช้การตัดสินใจด้านนโยบายเพื่อส่งเสริมให้มีการใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงในหม้อไอน้ำมากขึ้นด้วย
จากตารางที่ 7 แสดงให้เห็นว่าการใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงมีราคาถูกที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น ราคาของถ่านหินก็มักจะคงที่มากกว่าราคาของเชื้อเพลิงอื่น ๆ และในระยะยาวก็สามารถที่จะทำสัญญาเพิ่มขึ้นได้พอสมควร อย่างไรก็ตามโรงงานที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงก็ยังมีค่าใช้จ่ายในการลงทุนและการปฏิบัติการสูงขึ้น เช่นเดียวกันหม้อไอน้ำชนิดที่ใช้เชื้อเพลิงอื่นก็จะมีค่าใช้จ่ายในการลงทุนที่ใกล้เคียวกัน ซึ่งจะรวมทั้งที่เก็บถ่านหิน อุปกรณ์ในการลำเลียงถ่านหินและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ ที่ต้องใช้กำจัดขี้เถ้า (Ash Removal) การลำเลียง (Handling) และการจัดเก็บใกล้เคียงกับการติดตั้งหม้อไอน้ำที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง อย่างไรก็ตามค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติการก็ยังสูงอยู่ เพราะถึงแม้ว่าทั้งผู้ผลิตหม้อไอน้ำและบริติชโคบ (British Coal) จะมีความพยายามในการพัฒนาอย่างมาก เพื่อจะลดการใช้แรงงานลงก็ตาม แต่ก็เป็นเรื่องค่อนข้างยากที่โรงงานซึ่งใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงสำหรับหม้อไอน้ำ จะสามารถดำเนินการแบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบหรือไม่ต้องใช้คนเลย
ในเรื่องค่าใช้จ่ายสำหรับการบำรุงรักษาจะสูงกว่าเชื้อเพลิงจากฟอสซิลมาก เพราะเงื่อนไขที่ต้องทำให้การเผาไหม้สะอาด ทำให้จำเป็นต้องทำความสะอาดหม้อไอน้ำให้บ่อยมากขึ้น นอกจากนั้นลักษณะของเชื้อเพลิงและขี้เถ้าก็จะมีลักษณะที่แข็งและหยาบมาก ดังนั้น ระดับของการสึกหรอของอุปกรณ์ที่เกิดจากการลำเลียงถ่านหินและขี้เถ้าก็จะสูงด้วย การกำจัดขี้เถ้าในลักษณะที่พยายามหลีกเลี่ยงการเกิดมลภาวะเป็นส่วนประกอบของการดำเนินการที่สำคัญและบางภูมิภาคของประเทศกลายเป็นธุรกิจที่ทำรายได้ให้เป็นอย่างดี มลพิษที่เกิดจากไนโตรเจน ออกไซด์สามารถกำจัดได้โดยการใข้อุณหภูมิการเผาไหม้ต่ำ แต่จำเป็นต้องคำนึงถึงซัลเฟอร์ออกไซด์ที่ปล่อยออกมาจากการเผาไหม้ของถ่านหินด้วย ทั้งค่าความร้อนและปริมาณกำมะถันของถ่านหินซึ่งจะแตกต่างกันมากแต่ละแหล่ง เช่น ถ่านหินของสหราชอาณาจักรที่ขายในตลาดอุตสาหกรรมจะมีปริมาณของกำมะถันประมาณ 1.3% และก่อให้เกิดมลภาวะน้อยกว่าน้ำมันเตา แต่อย่างไรก็ตามควรตระหนักด้วยว่า กำมะถันที่อยู่ในถ่านหินถึง 10% จะยังคงอยู่ในขี้เถ้าและไม่ถูกปล่อยออกไปในบรรยากาศ ประเทศที่นำเข้าถ่านหินที่มีปริมาณกำมะถันมากกว่า 3% จะผลิตซัลเฟอร์ออกไซด์ในปริมาณที่มากกว่าเชื้อเพลิงน้ำมัน
การเลือกเชื้อเพลิง (Choice of Fuel)
การเลือกเชื้อเพลิงไม่ใช่วิธีที่ง่ายนัก เพราะเกี่ยวเนื่องกับความสมดุลขององค์ประกอบอื่น ๆ รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการลงทุนของหม้อไอน้ำ ราคาของเชื้อเพลิง และค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงานและการบำรุงรักษา และยังต้องพิจารณาเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงด้านเชื้อเพลิงในอนาคต นโยบายทางด้านราคา และกฎหมายควบคุมการเกิดมลภาวะ รวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่ได้คาดคิดมาก่อนด้วย
จากรูปที่ 37 ได้สรุปให้เห็นถึงข้อดีและข้อเสีย สามารถนำเอาไปประมาณค่าใช้จ่ายและปริมาณที่จะต้องใช้สำหรับเชื้อเพลิงแต่ละชนิด และเป็นเรื่องที่ยากที่จะกล่าวถึงในแนวทางการปฏิบัติที่จะต้องใช้สำหรับเชื้อเพลิงแต่ละชนิด และเป็นเรื่องยากที่จะกล่าวถึงในแนวทางปฏิบัติงานที่ดีเล่มนี้ พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1991) ในกรณีที่การติดตั้งหม้อไอน้ำแบบใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงมีกำลังผลิตต่ำกว่า 20 เมกะวัตต์ ในขณะเดียวกันตลาดสำหรับเชื้อเพลิงอื่น ๆ ก็มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ๆ ทั้งเหตุการณ์ต่าง ๆ ของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งแหล่งทรัพยากรที่ลดปริมาณอย่างรวดเร็วด้วย ซึ่งทำให้ระยะเวลาของการใช้เชื้อเพลิงเหล่านี้สั้นลง
กลับหน้าแรก